วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บทที่ 6 ดาวฤกษ์

ดาวฤกษ์

  ดาวฤกษ์  เป็นมวลก๊าซที่ลุกโชติช่วง ( incandescent  gas )  และกระจายอยู่ทั่วทั้ง
เอกภพในระยะที่ห่างกันพอได้สมดุลพอดีเราอาจจุเห็นดาวฤกษ์หลายดวงอยู่กันเป็นกลุ่มในท้องฟ้ายามราตรีในรูปของจุดแสงเล็กๆ  บางดวงก็มีแสงสุกใสสว่างกว่าดวงอื่นๆ  แต่นั้นก็เป็นเพียงรูปโฉมภายนอกเท่านั้น  ทั้งนี้เพราะความสว่างที่เห็นนั้นขึ้นอยู่กับระยะทางที่ดาวฤกษ์ดวงนั้นๆอยู่ห่างจากโลก  อายุขัยของดาวฤกษ์แต่ละดวงไม่เท่ากัน  ทว่ามันก่อเกิดขึ้นเติบโตและดับไปในที่สุดเหมือนๆกัน




วิวัฒนาการของดาวฤกษ์

  ดาวฤกษ์ทั้งหลายเกิดจากการยุบรวมตัวของ เนบิวลา หรือกล่าวได้อีกอย่างว่าเนบิวลาเป็นแหล่งกำเนิดของดาวฤกษ์ทุกประเภท แต่จุดจบของดาวฤกษ์จะต่างกัน ขึ้นอยู่กับมวลสาร

            วิวัฒนาการของดาวฤกษ์ที่มีมวลสารต่างๆกัน วาระสุดท้ายของดาวฤกษ์มวลสารมากกว่าดวงอาทิตย์มากๆจะเป็นหลุมดำมวลสารมากกว่าดวงอาทิตย์มาก จะกลายเป็นดาวนิวตรอน และวาระสุดท้ายดาวฤกษ์มวลสารน้อย เช่น ดวงอาทิตย์ จะกลายเป็นดาวแคระ

            ดาวฤกษ์ที่มีมวลน้อย เช่น ดวงอาทิตย์มีแสงสว่างไม่มากจะใช้เชื้อเพลิงในอัตราที่น้อย จึงมีชีวิตยาว และจบลงด้วยการไม่ระเบิด แต่จะกลายเป็นดาวแคระขาว สำหรับดาวฤกษ์ ที่มีมวลพอๆกับดวงอาทิตย์ จะมีช่วงชีวิตและการเปลี่ยนแปลงแบบเดียวกับดวงอาทิตย์

            ดาวฤกษ์ที่มีขนาดใหญ่ มีมวลมาก สว่างมากจะใช้เชื้อเพลิงอย่างสิ้นเปลืองในอัตราสูงมากจึงมีช่วงชีวิตสั้นกว่า และจบชีวิตด้วยการระเบิดอย่างรุนแรง

            จุดจบของดาวฤกษ์ที่มวลมาก คือการระเบิดอย่างรุนแรง ที่เรียกว่า ซูเปอร์โนวา (supernova) แรงโน้มถ่วง จะทำให้ดาวยุบตัวลงกลายเป็นดาวนิวตรอนหรือหลุมดำ ในขณะเดียวกันก็มีแรงสะท้อนที่ทำให้ส่วนภายนอกของดาวระเบิดเกิดธาตุหนักต่างๆ เช่น ยูเรนียม ทองคำ ฯลฯ ซึ่งถูกสาด กระจายออกสู่อวกาศกลายเป็นส่วนประกอบของเนบิวลารุ่นใหม่ และเป็นต้นกำเนิดของดาวฤกษ์รุ่นต่อไป เช่นระบบสุริยะก็เกิดจากเนบิวลารุ่นหลัง ดวงอาทิตย์และบริวารจึงมีธาตุต่างๆทุกชนิด เป็นองค์ประกอบ ดังนั้น เนบิวลา ดาวฤกษ์ การระเบิดของดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ โลกของเรา สารต่างๆและชีวิตบนโลก จึงมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง







ดวงอาทิตย์


 ดวงอาทิตย์ (The Sun) คือดาวฤกษ์ที่อยู่ตรงศูนย์กลางของระบบสุริยะ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.4 ล้านกิโลเมตร หรือ 109 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางโลก อยู่ห่างจากโลก 149,600,000 กิโลเมตร หรือ 1 หน่วยดาราศาสตร์ (AU)  ดวงอาทิตย์มีมวลมากกว่าโลก 333,000 เท่า แต่มีความหนาแน่นเพียง 0.25 เท่าของโลก เนื่องจากมีองค์ประกอบเป็นไฮโดรเจน 74% ฮีเลียม 25% และธาตุชนิดอื่น 1% (ข้อมูลเพิ่มเติม NASA Sun Fact Sheet


โครงสร้างภายในของดวงอาทิตย์  
  • แก่นปฏิกรณ์นิวเคลียร์ (Fusion core)​ อยู่ที่ใจกลางของดวงงอาทิตย์ถึงระยะ 25% ของรัศมี แรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ทำให้มวลสารของดาวกดทับกันจนอุณหภูมิที่ใจกลางสูงถึง 15 ล้านเคลวิน จุดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันหลอมอะตอมของไฮโดรเจนให้กลายเป็นฮีเลียม และปลดปล่อยพลังงานออกมา
  • โซนการแผ่รังสี (Radiative zone) อยู่ที่ระยะ 25 - 70% ของรัศมี พลังงานที่เกิดขึ้นจากแก่นปฏิกรณ์นิวเคลียร์ถูกนำขึ้นสู่ชั้นบนโดยการแผ่รังสีด้วยอนุภาคโฟตอน
  • โซนการพาความร้อน (Convection zone) อยู่ที่ระยะ 70 - 100% ของรัศมี พลังงานที่เกิดขึ้นไม่สามารถแผ่สู่อวกาศได้โดยตรง เนื่องจากมวลของดวงอาทิตย์เต็มไปด้วยแก๊สไฮโดรเจนซึ่งเคลื่อนที่หมุนวนด้วยกระบวนการพาความร้อน  พลังงานจากภายในจึงถูกพาออกสู่พื้นผิวด้วยการหมุนวนของแก๊สร้อน









ความสว่างเเละอันดับความสว่างของดาวฤกษ์

- ความสว่าง (brightness) ของดาว คือ พลังงานแสงจากดาวที่ตกบน 1 หน่วยพื้นที่ ใน
เวลา 1 วินาที

- อันดับความสว่าง (brightness) ของดาวฤกษ์ เป็นตัวเลขที่กำหนดขึ้นเพื่อแสดงการรับรู้
ความสว่างของผู้สังเกตดาวฤกษ์ด้วยตาเปล่า ดาวที่มองเห็นสว่างที่สุดมีอันดับความสว่าง
เป็น 1 และดาวที่เห็นสว่างน้อยที่สุดมีอันตับความสว่างเป็น 6 นั่นคือดาวยิ่งมีความสว่าง
น้อย อันดับความสว่างยิ่งสูงขึ้น หรืออยู่อันดับท้าย ๆ ส่วนดาวสว่างมากอยู่อันดับต้น ๆ

 อันดับควาสว่างของดวงดาวบนท้องฟ้า

อันดับความสว่างตัวอย่าง
-26.7ดวงอาทิตย์
-4.5ดาวศุกร์เมื่อสว่างที่สุด
-3.5ดาวศุกร์เมื่อริบหรี่ที่สุด
-2.7ดาวอังคารเมื่อสว่างที่สุด
-2.5ดาวพฤหัสบดีเมื่อสว่างที่สุด
-1.5ดาวพุธเมื่อสว่างที่สุด
-1.5ดาวซีรีอัล
-1.4ดาวพฤหัสบดีเมื่อริบหรี่ที่สุด
-0.5ดาวเสาร์เมื่อสว่างที่สุด
-1ดาวฤกษ์ประมาณ 20 ดวง
0ดาวฤกษ์ประมาณ 20 ดวง
1ดาวฤกษ์ประมาณ 20 ดวง
1.2ดาวเสาร์เมื่อรบหรี่ที่สุด
1.6ดาวอังคารเมื่อริบหรี่ที่สุด
2.6ดาวพุธเมื่อริบหรี่ที่สุด
3
ดาวฤกษ์ริบหรี่ที่สุดที่อาจมองเห็นได้ในเมืองใหญ่
6ดาวฤกษ์ริบหรี่ที่สุดที่อาจมองเห็นได้ในชนบท



สีเเละอุณหภูมิของดาวฤกษ์


   ดาวฤกษ์ที่ปรากฏบนท้องฟ้าจะมีสีต่างกัน   เมื่อศึกษาอุณหภูมิผิวของดาวฤกษ์จะพบว่า    สีของดาวฤกษ์มีความสัมพันธ์กับอุณหภูมิผิวของดาวฤกษ์ด้วย นักดาราศาสตร์แบ่งชนิดของดาวฤกษ์ตามสีและอุณหภูมิผิวของดาวฤกษ์ได้ 7 ชนิด คือ O B A F G K และ M แต่ละชนิดจะมีสีและอุณหภูมิผิวดังตารางต่อไปนี้



   สีของดาวฤกษ์นอกจากจะบอกอุณหภูมิของดาวฤกษ์แล้ว  ยังสามารถบอกอายุของดาวฤกษ์ด้วย ดาวฤกษ์ที่มีอายุน้อยจะมีอุณหภูมิที่ผิวสูงและมีสีน้ำเงิน ส่วนดาวฤกษ์ที่มีอายุมากใกล้ถึงจุดสุดท้ายของ
ชีวิตจะมีสีแดงที่ เรียกว่า ดาวยักษ์แดง มีอุณหภูมิผิวต่ำ ดาวฤกษ์แต่ละดวงจะมีสิ่งที่เหมือนกัน คือ องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ธาตุไฮโดรเจน และธาตุฮีเลียม พลังงานของดาวฤกษ์ทุกดวงเกิดจากปฏิกิริยาเทอร์มอนิวเคลียร์ที่แก่นกลาง ของดาว แต่สิ่งที่ต่างกันของดาวฤกษ์ ได้แก่ มวล อุณหภูมิผิว ขนาด อายุ ระยะห่างจากโลก สี ความสว่าง ธาตุที่เป็นองค์ประกอบ และวิวัฒนาการที่ต่างกัน



ระยะทางในดาราศาสตร์


1.หน่วยดาราศาสตร์ มีค่าเท่ากับระยะทางจากดวงอาทิตย์ถึงโลก หรือ 150 ล้าน กิโลเมตร เป็นหน่วยที่ใช้มากในการบอกระยะห่างภายในระบบสุริยะ

1 ปีเเสง คือ ระยะทางที่เเสงเดินทางใช้เวลา 1ปี คิดเป็นระยะทาง9.4607×1012 กิโลเมตร = 63,241.07

1 ปาร์เสด ระยะทางจากโลกถึงดาวที่มีมุมพาราลเเลก์เท่ากับ 1ฟิลิปดา คิดเป็นระยะทาง 206265 A.U.หรือ 3.27 ปีเเสง



เนบิวลา (NEBULA)

คือ กลุ่มก๊าซและฝุ่นที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเองรวมกันอยู่หนาแน่นมากเป็นปริมาณมหาศาล อยู่ระหว่างดาวฤกษ์ในระบบกาแล็กซี่ ลักษณะของเนบิวลาจะปรากฏเป็นฝ้ามัวๆ บริเวณนี้จะเป็นแหล่งกำเนิดของดาวฤกษ์ต่างๆ และเนบิวลาบางส่วนอาจเกิดจากการระเบิดของดาวฤกษ์กลายเป็นซากก๊าซและฝุ่น


เนบิวลามี 2 ลักษณะ คือ เนบิวลาสว่าง และ เนบิวลามืด

 นบิวลาสว่างแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ เช่น เนบิวลาสว่างใหญ่ในกระจุกดาวลูกไก่ จะสะท้อนแสงสีน้ำเงิน และโดยวัตถุที่สะท้อนแสงคือ ฝุ่นอวกาศ เช่น เนบิวลา M-42 ในกลุ่มดาวนายพราน เนบิวลาวงแหวน M-52 ในกลุ่มดาวพิณ เนบิวลาปูในกลุ่มดาววัว สำหรับเนบิวลาสว่างใหญ่ที่มีทั้งสะท้อนแสงและเรืองแสง เช่น เนบิวลาสามแฉก M-20 ในกลุ่มดาวคนยิงธนู

เนบิวลาสว่างใหญ่คือ เนบิวลาประเภทเรืองแสงที่เกิดจากการเรืองแสงของอะตอมของไฮโดรเจน 

ออกซิเจน ไนโตรเจน และ ฮีเลียม

เนบิวลาสว่างประเภทเรืองแสงที่ใหม่ที่สุด คือ เนบิวลาวงกลม เป็นซากของซุปเปอร์โนวา 1987 A อยู่

ในกาแล็กซีแม็กเจลแลนใหญ่ ห่างจากโลก 170000 ปีแสง

เนบิวลามืด เป็นก๊าซและฝุ่นท้องฟ้าที่บังและดูดกลืนแสงดาวฤกษ์ที่อยู่เบื้องหลังทำให้มองเห็นเป็น

บริเวณดำ เช่นเนบิวลามืดรูปหัวม้าในกลุ่มดาวนายพราน เนบิวลารูปถุงถ่านหิน ในกลุ่มดาว

กางเขนใต้   





เนบิวลาดาวเคราะห์


เนบิวลาดาวเคราะห์มิได้มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับดาวเคราะห์  แต่เนื่องจากขนาดปรากฏและรูปทรงของมัน

คล้ายดาวเคราะห์จึงเรียกว่าเนบิวลาดาวเคราะห์ เนบิวลาดาวเคราะห์เกิดจากการตายของ

ดาวฤกษ์เพียงดวงเดียว ซึ่งเป็นดาวฤกษ์มวลน้อยและมวลปานกลาง ก่อนตายดาวจะเกิดการยุบพองและ

เป่าคาร์บอนออกมา การยุบพองของดาว ทำให้เนื้อสารหลุดแยกออกจากดาวกลายเป็นเนบิวลาดาว

เคราะห์ แกนกลางของดาวกลายเป็นดาวแคระขาว ธาตุหลักของเนบิวลาดาวเคราะห์ได้แก่ไฮโดรเจน 

ฮีเลียม และออกซิเจน ดาวแคระขาวจัดได้ว่าเป็นแหล่งพลังงานเดียว ของเนบิวลา  ดาวเคราะห์ที่ยังคง

หลงเหลือพลังงานอยู่ เนื้อสารของดาวที่หลุดออกเป็นเพียงก๊าซและฝุ่นก๊าซซึ่งไม่มีพลังงานหลงเหลืออยู่

เลย แต่สาเหตุที่เรามองเห็นเนบิวลาดาวเคราะห์ได้เนื่องจากได้รับแสงจากดาวแคระขาวที่อยู่ภายในดาว

แคระขาวเป็นดาวที่ไม่มีปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน ขนาดของดาวคงรูปอยู่ได้ด้วยสมดุลของแรงโน้มถ่วง

จากน้ำหนักเนื้อสารของดาวและความดันดีเจนเนอเรซีของอิเล็กตรอน ดาวแคระขาวจึงมาขนาดเส้นผ่าน

ศูนย์กลางประมาณ 10,000 กิโลเมตร ขนาดใกล้เคียงกับโลก ในฐานข้อมูลเมสสิเยร์มีเนบิวลาดาวเคราะห์

จำนวน 4 เนบิวลา ได้แก่ M27 เนบิวลาดัมเบลล์, M57 เนบิวลาวงแหวน, M76 เนบิวลาดัมเบลล์เล็ก และ 

M97 เนบิวลานกฮูก







       


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น